หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณจะเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าหรือเปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจคุณจะทำแบบไหนเพราะอะไร

คำถามนี้เป็นคำถามเชิงกลยุทธ์ที่ดีมากและคำตอบที่ “ถูก”
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของธุรกิจนั้น ๆ แต่ถ้าผมเป็นเจ้าของธุรกิจผมจะ:
“เปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจก่อนจะพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า“
เพราะอะไร?
1. เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า = ยาก, ใช้เวลา, และเปลืองทรัพยากร
- พฤติกรรมของลูกค้าเป็นผลสะสมจาก ความเชื่อ, ความสะดวก, ค่านิยม, ความเคยชิน ซึ่งเปลี่ยนยากมาก
- ตัวอย่าง: คนไทยติดซื้อของใน Marketplace หรือ Live – หากจะลากลูกค้าออกมาใช้เว็บเฉพาะเจาะจง ต้องใช้เวลา + เงิน + ความชัดเจนเรื่อง Value สูงมาก
2. แต่ “เปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจ” = ควบคุมได้ทันที
- เป็นสิ่งที่เราควบคุมเองได้ เช่น:
- เปลี่ยนช่องทางขายให้ตรงกับที่ลูกค้าใช้อยู่
- ออกแบบสินค้า/บริการให้ “ตอบโจทย์” พฤติกรรมที่มีอยู่แล้ว
- ปรับระบบราคา / โปรโมชั่น / UX / ช่องทางสื่อสาร ให้เข้ากับความคิดของลูกค้า
3. ลูกค้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนเอง ถ้าเขา “รู้สึกว่าได้ประโยชน์“
- ถ้าเราออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกว่า ง่ายกว่า, คุ้มกว่า, หรือเท่กว่าเดิม – เขาจะเปลี่ยนพฤติกรรมเองโดยไม่ต้องบังคับ
ตัวอย่างจริง:
ธุรกิจขายกล้องวงจรปิด (CCTV)
- ลูกค้าส่วนใหญ่ “ไม่อยากศึกษาข้อมูลเอง” แต่จะเลือกเจ้าไหนที่ ไว้ใจได้ + แนะนำง่าย + ดูแลหลังการขายดี
- ถ้าจะพยายามเปลี่ยนให้ลูกค้า “ซื้อออนไลน์เอง” หรือ “เลือกกล้องตามสเปก” อาจยาก
- วิธีที่ควรทำคือ: เปลี่ยนวิธีจัดการทีมขายให้มีบทบาทเป็นที่ปรึกษา, ใช้ AI หรือ Checklist ช่วยลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น → แบบนี้ลูกค้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนพฤติกรรมเองในที่สุด
สรุปแบบสั้น:
ตัวเลือก
1.เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า
ข้อดี ถ้าสำเร็จ จะได้กำไรมหาศาล
ข้อเสีย ยาก, ช้า, เปลืองทรัพยากร
2.เปลี่ยนการจัดการธุรกิจ
ข้อดี ควบคุมได้, ทำได้เลย, ตอบสนองพฤติกรรมที่มีอยู่
ข้อเสีย อาจต้องปรับโมเดลหรือลงทุนบางส่วน
ข้อคิด
“อย่าฝืนกระแสน้ำ – เรียนรู้ที่จะพายเรือให้ทัน แล้วใช้กระแสนั้นพาเราไปข้างหน้า”
แต่การตลาดสมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมลูกค้าและแบ่งเป็น Gen ต่าง ๆ คุณไม่สนใจหรือ
คำถามนี้ดีมากและใช่ — การตลาดยุคใหม่ “ต้องเข้าใจ” พฤติกรรมลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีการแบ่งเป็น Generation เช่น Gen Z, Y, X, Boomers เพราะ
1.Gen ต่างกัน มีพฤติกรรมต่างกัน (ช่องทางที่ใช้, วิธีตัดสินใจ, ค่านิยม, ความอดทน ฯลฯ)
2.การตลาดยุคใหม่คือ Customer-centric = เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลางไม่ใช่เอาธุรกิจเป็นศูนย์กลาง
แต่จุดที่ผมพูดก่อนหน้า
“ไม่ใช่ไม่สนใจพฤติกรรมลูกค้า” — แต่คือการ “ไม่ไปฝืนเปลี่ยน” พฤติกรรมเขาในทันที
เพราะการพยายาม “เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า” ต้องใช้เงินและเวลาเยอะมากโดยเฉพาะถ้าเราเป็น SME หรือยังไม่ใช่แบรนด์ที่มีอิทธิพลพอ
วิธีคิดที่สมดุลระหว่าง “การตลาดยุคใหม่” และ “การบริหารธุรกิจ” คือ:
สิ่งที่ควรทำ
ศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า (โดยเฉพาะแต่ละ Gen) ตัวอย่าง เช่น Gen Z ใช้ TikTok / ชอบ Self-service / เกลียด Call Center
ออกแบบระบบ / ข้อเสนอ / ช่องทาง ให้เข้ากับพฤติกรรมที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่าง เช่น เปลี่ยนจากโทรขาย → ส่ง DM / สร้างแคมเปญ TikTok แทนโฆษณาทีวี
ถ้าจะเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องมี “แรงจูงใจ” ที่ชัดและคุ้มค่า ตัวอย่าง เช่น Lazada สร้าง Flash Sale → ลูกค้าคุ้นกับการรีบซื้อก่อนหมดเวลา
ตัวอย่าง:
กรณี SME อยากขายของผ่านเว็บตัวเอง แทนขายใน Marketplace
- พฤติกรรมลูกค้า (Gen Y, Z) = ชอบความง่าย, ชินกับการจ่ายผ่าน Shopee/Lazada ที่แค่คลิกเดียวจบ
- ถ้าเจ้าของร้านพยายามลากลูกค้าไปเว็บตัวเอง โดยไม่มีแรงจูงใจ → ลูกค้าไม่เปลี่ยน
- ทางออก:
- เข้าใจพฤติกรรม → ไม่ฝืน
- ค่อย ๆ ปรับธุรกิจให้มี ระบบสมาชิก, สะสมแต้ม, หรือ ดีลลับเฉพาะเว็บ → ทำให้ลูกค้า “อยาก” เปลี่ยนเอง
สรุปแนวคิด
1.สนใจพฤติกรรมลูกค้า = จำเป็น 100%
2.แต่เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า = ต้องรอจังหวะ, มีแผน และมีแรงจูงใจ
3.ดังนั้น: ให้ธุรกิจเรา “ยืดหยุ่น” เข้าหาลูกค้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยพาเขาเปลี่ยนทีละน้อย
SolarWinds – Hack
Business Go 2025
Pytorch – Neural Network
