หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณจะเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าหรือเปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจคุณจะทำแบบไหนเพราะอะไร

คำถามนี้เป็นคำถามเชิงกลยุทธ์ที่ดีมากและคำตอบที่ “ถูก”

ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของธุรกิจนั้น ๆ แต่ถ้าผมเป็นเจ้าของธุรกิจผมจะ:

เปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจก่อนจะพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า

เพราะอะไร?

✅ 1. เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า = ยาก, ใช้เวลา, และเปลืองทรัพยากร

  • พฤติกรรมของลูกค้าเป็นผลสะสมจาก ความเชื่อ, ความสะดวก, ค่านิยม, ความเคยชิน ซึ่งเปลี่ยนยากมาก
  • ตัวอย่าง: คนไทยติดซื้อของใน Marketplace หรือ Live – หากจะลากลูกค้าออกมาใช้เว็บเฉพาะเจาะจง ต้องใช้เวลา + เงิน + ความชัดเจนเรื่อง Value สูงมาก

✅ 2. แต่ เปลี่ยนวิธีการจัดการธุรกิจ = ควบคุมได้ทันที

  • เป็นสิ่งที่เราควบคุมเองได้ เช่น:
    • เปลี่ยนช่องทางขายให้ตรงกับที่ลูกค้าใช้อยู่
    • ออกแบบสินค้า/บริการให้ “ตอบโจทย์” พฤติกรรมที่มีอยู่แล้ว
    • ปรับระบบราคา / โปรโมชั่น / UX / ช่องทางสื่อสาร ให้เข้ากับความคิดของลูกค้า

✅ 3. ลูกค้าจะค่อย เปลี่ยนเอง ถ้าเขารู้สึกว่าได้ประโยชน์

  • ถ้าเราออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกว่า ง่ายกว่า, คุ้มกว่า, หรือเท่กว่าเดิม – เขาจะเปลี่ยนพฤติกรรมเองโดยไม่ต้องบังคับ

ตัวอย่างจริง:

ธุรกิจขายกล้องวงจรปิด (CCTV)

  • ลูกค้าส่วนใหญ่ “ไม่อยากศึกษาข้อมูลเอง” แต่จะเลือกเจ้าไหนที่ ไว้ใจได้ + แนะนำง่าย + ดูแลหลังการขายดี
  • ถ้าจะพยายามเปลี่ยนให้ลูกค้า “ซื้อออนไลน์เอง” หรือ “เลือกกล้องตามสเปก” อาจยาก
  • วิธีที่ควรทำคือ: เปลี่ยนวิธีจัดการทีมขายให้มีบทบาทเป็นที่ปรึกษา, ใช้ AI หรือ Checklist ช่วยลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น → แบบนี้ลูกค้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนพฤติกรรมเองในที่สุด

สรุปแบบสั้น:

ตัวเลือก

1.เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า

ข้อดี ถ้าสำเร็จ จะได้กำไรมหาศาล

ข้อเสีย ยาก, ช้า, เปลืองทรัพยากร

2.เปลี่ยนการจัดการธุรกิจ

ข้อดี ควบคุมได้, ทำได้เลย, ตอบสนองพฤติกรรมที่มีอยู่

ข้อเสีย อาจต้องปรับโมเดลหรือลงทุนบางส่วน

ข้อคิด

อย่าฝืนกระแสน้ำ เรียนรู้ที่จะพายเรือให้ทัน แล้วใช้กระแสนั้นพาเราไปข้างหน้า

แต่การตลาดสมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมลูกค้าและแบ่งเป็น Gen ต่าง ๆ คุณไม่สนใจหรือ

คำถามนี้ดีมากและใช่ การตลาดยุคใหม่ ต้องเข้าใจ พฤติกรรมลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีการแบ่งเป็น Generation เช่น Gen Z, Y, X, Boomers เพราะ

1.Gen ต่างกัน มีพฤติกรรมต่างกัน (ช่องทางที่ใช้, วิธีตัดสินใจ, ค่านิยม, ความอดทน ฯลฯ)

2.การตลาดยุคใหม่คือ Customer-centric = เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลางไม่ใช่เอาธุรกิจเป็นศูนย์กลาง

แต่จุดที่ผมพูดก่อนหน้า

ไม่ใช่ไม่สนใจพฤติกรรมลูกค้า แต่คือการ ไม่ไปฝืนเปลี่ยน พฤติกรรมเขาในทันที

เพราะการพยายาม เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า ต้องใช้เงินและเวลาเยอะมากโดยเฉพาะถ้าเราเป็น SME หรือยังไม่ใช่แบรนด์ที่มีอิทธิพลพอ

วิธีคิดที่สมดุลระหว่าง การตลาดยุคใหม่ และ การบริหารธุรกิจ คือ:

สิ่งที่ควรทำ

✅ ศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า (โดยเฉพาะแต่ละ Gen) ตัวอย่าง เช่น Gen Z ใช้ TikTok / ชอบ Self-service / เกลียด Call Center

✅ ออกแบบระบบ / ข้อเสนอ / ช่องทาง ให้เข้ากับพฤติกรรมที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่าง เช่น เปลี่ยนจากโทรขาย ส่ง DM / สร้างแคมเปญ TikTok แทนโฆษณาทีวี

 ✅ ถ้าจะเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องมี แรงจูงใจ ที่ชัดและคุ้มค่า ตัวอย่าง เช่น Lazada สร้าง Flash Sale ลูกค้าคุ้นกับการรีบซื้อก่อนหมดเวลา

ตัวอย่าง:

กรณี SME อยากขายของผ่านเว็บตัวเอง แทนขายใน Marketplace

  • พฤติกรรมลูกค้า (Gen Y, Z) = ชอบความง่าย, ชินกับการจ่ายผ่าน Shopee/Lazada ที่แค่คลิกเดียวจบ
  • ถ้าเจ้าของร้านพยายามลากลูกค้าไปเว็บตัวเอง โดยไม่มีแรงจูงใจ ลูกค้าไม่เปลี่ยน
  • ทางออก:
    • เข้าใจพฤติกรรม ไม่ฝืน
    • ค่อย ปรับธุรกิจให้มี ระบบสมาชิก, สะสมแต้ม, หรือ ดีลลับเฉพาะเว็บ ทำให้ลูกค้า อยาก เปลี่ยนเอง

 สรุปแนวคิด

1.สนใจพฤติกรรมลูกค้า = จำเป็น 100%

2.แต่เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า = ต้องรอจังหวะ, มีแผน และมีแรงจูงใจ

3.ดังนั้น: ให้ธุรกิจเรา “ยืดหยุ่น” เข้าหาลูกค้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยพาเขาเปลี่ยนทีละน้อย

  

Hacked

SolarWinds – Hack

SolarWinds อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ และ บริษัทเอกชนถึง 250 แห่งในสหรัฐอเมริกา ณ ขณะนี้ โดยการแฮ็กนี้คาดว่าเชื่อมโยงกับรัสเซีย
NY_25_Pic2_0

Business Go 2025

การทำธุรกิจความยากอย่างหนึ่งคือการทำงานที่ต่อเนื่องทุกวันไม่ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ตามไม่สามารถ
AInb-Post-5-Pic1

Pytorch – Neural Network

วิธีการใช้งาน Pytorch เบื้องต้นสำหรับทำงานด้าน Deep Learning และสร้าง Neural Network พร้อมตัวอย่างการสร้างโมเดลจำแนกรูปภาพ Convnet แบบง่าย ๆ

ติดตาม SUBBRAIN ได้ที่นี่

Categories: Business